กรณีศึกษาการใช้ DAO กับมหาวิทยาลัย

ในปี 2025 นี้ แนวคิดเรื่อง Decentralized Autonomous Organizations (DAOs) หรือ "องค์กรอิสระแบบกระจายศูนย์" ได้ก้าวข้ามจากทฤษฎีมาสู่การประยุกต์ใช้จริงในภาคการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการกำเนิดของ "มหาวิทยาลัยกระจายศูนย์" (Decentralized Universities หรือ DAUs) ซึ่งกำลังปฏิวัติรูปแบบการศึกษาแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นระบบที่โปร่งใส เป็นประชาธิปไตย หัวใจสำคัญของการนำ DAO มาใช้ก็คือการสร้างระบบการศึกษาที่ "โปร่งใส รวดเร็ว และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม" อย่างแท้จริง
University of California, Berkeley ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก ได้นำ DAO มาใช้ในการเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญของมหาวิทยาลัย ส่งผลให้ในบางโครงการการมีส่วนร่วมของนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึง 30%
Invisible College ซึ่งเป็น Learning DAO ที่โดดเด่นด้านการเรียนรู้ทักษะ Web3 ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างหลักสูตรที่รวดเร็วและทันสมัย โดยผู้เรียนสามารถร่วมกันออกแบบและจัดการเนื้อหาได้อย่างคล่องตัว ทำให้ผู้เข้าร่วมกว่า 70% รายงานว่าได้รับทักษะที่นำไปใช้ในการทำงานได้จริงภายใน 6 เดือน
EduDAO ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก BitDAO เป็นโครงการริเริ่มที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่าง Harvard University, UC Berkeley และ Oxford University เพื่อระดมทุนและสนับสนุนโครงการนวัตกรรมของนักศึกษาในด้านบล็อกเชนอย่างโปร่งใส มีการจัดสรรทุนวิจัยไปแล้วกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการที่ได้รับการโหวตจาก Community ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จในการสนับสนุนนวัตกรรมแบบกระจายอำนาจ
DAO คืออะไร และเข้ามาบริหารจัดการ DAUs ได้อย่างไร?
โดยพื้นฐานแล้ว DAO คือองค์กรที่ทำงานโดยไม่ต้องมีคนกลางหรือการควบคุมจากส่วนกลาง การตัดสินใจทั้งหมดจะถูกบันทึกและดำเนินการผ่าน สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) บนบล็อกเชน ทำให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ หลักการนี้ได้ถูกนำมาใช้กับมหาวิทยาลัยกระจายศูนย์ โดยให้อำนาจการตัดสินใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา คณาจารย์ ศิษย์เก่า นักวิจัย และบางครั้งแม้แต่ผู้ปกครอง
นี่คือกลไกหลักที่ DAO ใช้ในการบริหารจัดการชุมชนการเรียนรู้ใน DAUs:
1. การกำกับดูแลด้วยโทเค็น (Token-Based Governance)
หัวใจสำคัญของ DAUs คือ โทเค็นการกำกับดูแล (Governance Tokens) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มอบสิทธิ์ในการออกเสียงให้กับผู้ถือ โทเค็นเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับสมาชิกของชุมชนการเรียนรู้ ยิ่งถือโทเค็นมากเท่าไหร่ อิทธิพลในการตัดสินใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ระบบนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันเท่านั้น แต่ยังทำให้ผลประโยชน์ของผู้ถือโทเค็นสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และความสำเร็จโดยรวมของมหาวิทยาลัยอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ใน "EduDAO Connect" (ชื่อสมมติ) ทั้งนักศึกษา คณาจารย์ และศิษย์เก่าสามารถใช้โทเค็น EDU ของตนเพื่อโหวตการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การจัดสรรงบประมาณ หรือแม้แต่เกณฑ์การรับสมัครนักศึกษาใหม่
2. การตัดสินใจที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ (Transparent and Verifiable Decisions)
ทุกการโหวตและทุกกิจกรรมภายใน DAO จะถูกบันทึกบนบล็อกเชน ทำให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ตลอดเวลา สิ่งนี้สร้างความไว้วางใจและความรับผิดชอบภายในชุมชน "OpenLearn DAO" (ชื่อสมมติ) เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสนี้ โดยการเผยแพร่ธุรกรรมทางการเงินและการโหวตการกำกับดูแลทั้งหมดบนบล็อกเชน ทำให้นักศึกษาสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายค่าเล่าเรียนได้อย่างชัดเจน
3. การพัฒนาหลักสูตรที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน (Community-Driven Curriculum Development)
แทนที่จะเป็นหลักสูตรที่ออกแบบจากบนลงล่าง DAO ให้อำนาจแก่ชุมชนการเรียนรู้ในการร่วมกันกำหนดเนื้อหาและเส้นทางการศึกษา สิ่งนี้ทำให้หลักสูตรมีความเกี่ยวข้อง ทันสมัย และตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดงานและสังคม "SkillUp DAO" (ชื่อสมมติ) เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ที่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ผู้เรียน และนายจ้างสามารถเสนอและโหวตโมดูลหลักสูตรใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
4. การสร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วมและให้ผลงาน (Incentivized Participation and Contribution)
DAO มักจะมีกลไกในการให้รางวัลแก่สมาชิกที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและสร้างคุณค่า ตัวอย่างเช่น การได้รับโทเค็นการกำกับดูแลเพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมการอภิปราย การส่งข้อเสนอที่มีคุณภาพ หรือการสำเร็จหลักสูตร "ResearchHive DAO" (ชื่อสมมติ) แสดงให้เห็นถึงการที่นักวิจัยได้รับโทเค็น REP (Reputation) สำหรับการเผยแพร่บทความ การมีส่วนร่วมในโครงการโอเพนซอร์ส หรือการให้คำปรึกษาแก่นักวิจัยรุ่นเยาว์
5. กลไกการแก้ไขข้อพิพาท (Dispute Resolution Mechanisms)
แม้ DAO จะมุ่งเน้นฉันทามติ แต่ความขัดแย้งก็ย่อมเกิดขึ้นได้ DAUs ที่ใช้ DAO จึงพัฒนากลไกการแก้ไขข้อพิพาททั้งแบบบนบล็อกเชนและนอกบล็อกเชน เช่น การไกล่เกลี่ยโดยชุมชน การอนุญาโตตุลาการ หรือการโหวตอย่างเป็นทางการในประเด็นที่เป็นข้อโต้แย้ง "Nexus University DAO" (ชื่อสมมติ) ใช้กระบวนการโหวตจากคณะกรรมการตุลาการที่ได้รับเลือกจาก DAO หลักในการแก้ไขข้อพิพาททางวิชาการ
6. ความร่วมมือระดับโลกและการเข้าถึง (Global Collaboration and Accessibility)
DAO มีลักษณะที่ไร้พรมแดน ทำให้บุคคลจากทั่วโลกสามารถเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในมหาวิทยาลัยกระจายศูนย์ได้ สิ่งนี้ช่วยขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างมากและส่งเสริมการสร้างชุมชนการเรียนรู้ที่หลากหลายและเป็นสากล "Global Scholars DAO" (ชื่อสมมติ) เป็นตัวอย่างของมหาวิทยาลัยที่สร้างบนบล็อกเชนทั้งหมด ซึ่งนักศึกษาและคณาจารย์จากประเทศใดก็ได้สามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้
กรณีศึกษา DAO ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ
แม้แนวคิด "มหาวิทยาลัยกระจายศูนย์" ที่เป็นอิสระเต็มรูปแบบจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่หลักการของ DAO ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในแง่มุมต่างๆ ของการศึกษาแล้ว
1. University of California, Berkeley (UC Berkeley)
UC Berkeley ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของโลก ไม่ได้สร้าง "มหาวิทยาลัย DAO" แบบเต็มรูปแบบ แต่ได้นำหลักการของ DAO มาปรับใช้เพื่อ เพิ่มการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและการกำกับดูแลแบบกระจายอำนาจในบางโครงการและกระบวนการตัดสินใจภายใน
UC Berkeley ได้ทดลองใช้กลไกการโหวตแบบกระจายศูนย์หรือโมเดลที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก DAO ในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการริเริ่มของนักศึกษา การจัดสรรทรัพยากรสำหรับชมรม หรือการกำหนดนโยบายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนักศึกษาโดยตรง
มีการใช้โมเดลคล้าย DAO ในการจัดการและระดมทุนสำหรับโครงการวิจัยบางประเภท โดยให้นักศึกษาและคณาจารย์มีส่วนร่วมในการประเมินและโหวตข้อเสนอโครงการ
จากการทดลองใช้ในบางโครงการ พบว่า การมีส่วนร่วมของนักศึกษาในการตัดสินใจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางกรณีสูงถึง 30% เมื่อเทียบกับวิธีการแบบเดิม นี่มาจากความรู้สึกเป็นเจ้าของและความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้น
นักศึกษามีโอกาสมากขึ้นในการนำเสนอไอเดีย จัดการโครงการ และตัดสินใจด้วยตนเอง ทำให้เกิดทักษะความเป็นผู้นำและส่งเสริมวัฒนธรรมการริเริ่ม
2. Invisible College
Invisible College เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ "Learning DAO" (DAO ด้านการเรียนรู้) ซึ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับ Web3 โดยเฉพาะ ไม่ใช่สถาบันการศึกษาแบบดั้งเดิม แต่เป็นชุมชนการเรียนรู้แบบกระจายอำนาจ
การพัฒนาหลักสูตรแบบร่วมมือ: สมาชิกของ Invisible College ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ นักพัฒนา และผู้เรียน สามารถเสนอ อภิปราย และโหวตเพื่อสร้างและปรับปรุงหลักสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Web3 เช่น การพัฒนา DeFi protocols, NFT collections หรือการสร้าง DApps (Decentralized Applications)
การเรียนรู้แบบ Learn-to-Earn (L2E): อาจมีกลไกที่ให้รางวัลแก่ผู้เรียนที่ทำภารกิจสำเร็จหรือมีส่วนร่วมในการสร้างเนื้อหาการเรียนรู้ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของโทเค็นหรือ NFT
การสร้างเครือข่าย: สร้างชุมชนที่เข้มแข็งเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้และโอกาสในการทำงานในอุตสาหกรรม Web3
ด้วยกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่รวดเร็วและขับเคลื่อนโดยชุมชน ผู้เรียนกว่า 70% รายงานว่าได้รับทักษะที่นำไปใช้ในการทำงานได้จริงภายใน 6 เดือน ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วกว่าหลักสูตรแบบดั้งเดิมมาก
เนื่องจากเนื้อหาถูกสร้างและปรับปรุงโดยผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมโดยตรง ทำให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่เรียนรู้จะตรงกับความต้องการของตลาดงาน Web3 ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
3. EduDAO
EduDAO เป็นโครงการริเริ่มที่ใหญ่และมีชื่อเสียง โดยได้รับการสนับสนุนจาก BitDAO ซึ่งเป็นหนึ่งในคลังสินทรัพย์แบบกระจายอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลก EduDAO ไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัย แต่เป็น DAO ที่ทำหน้าที่เป็นกลไกการระดมทุนและการสนับสนุนโครงการนวัตกรรมด้านบล็อกเชนและ Web3 ในสถาบันการศึกษาชั้นนำ
การจัดสรรเงินทุนแบบกระจายอำนาจ: EduDAO ทำงานร่วมกับชมรมบล็อกเชนและกลุ่มนักศึกษา/คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เช่น Harvard University, University of Oxford, MIT, University of Pennsylvania และ UC Berkeley
การโหวตโดยชุมชน: เงินทุนจำนวนมาก (เริ่มต้นที่ 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจัดสรร 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี) จะถูกนำไปใช้สนับสนุนโครงการวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะเริ่มต้น โดยการตัดสินใจจัดสรรเงินทุนเหล่านี้จะผ่านกระบวนการโหวตจากสมาชิกในชุมชน EduDAO หรือจากกลุ่มผู้บริหารที่ได้รับการเลือกตั้งโดย DAO
EduDAO ได้จัดสรรทุนวิจัยและทุนสนับสนุนโครงการต่างๆ ไปแล้วกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการที่ได้รับการโหวตจากชุมชน สิ่งนี้ทำให้การสนับสนุนทางการเงินมีความโปร่งใสและเป็นไปตามความต้องการของชุมชน
เป็นสะพานเชื่อมระหว่างการวิจัยเชิงวิชาการกับโลกของ Web3 ช่วยบ่มเพาะนักสร้างนวัตกรรมรุ่นใหม่และนำแนวคิดใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น
ความท้าทายและอนาคต
แม้ว่า DAOs จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล แต่ก็ยังคงมีความท้าทายอยู่บ้าง เช่น ความซับซ้อนของการใช้งานสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีบล็อกเชน การรับรองและกรอบกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ รวมถึงปัญหาศักยภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการกระจุกตัวของโทเค็นในผู้ถือรายใหญ่ (Whales)
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของปี 2025 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า DAO กำลังเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้มีความเท่าเทียม ตอบสนองต่อความต้องการ และเป็นเจ้าของโดยชุมชนมากขึ้น มหาวิทยาลัยกระจายศูนย์เหล่านี้กำลังบุกเบิกโมเดลการเรียนรู้ใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจร่วมกันและการเป็นเจ้าของร่วมกัน ซึ่งแตกต่างจากโครงสร้างลำดับชั้นแบบดั้งเดิม นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ในโลกแห่งการศึกษา ที่อนาคตอยู่ในการกำมือของชุมชนผู้เรียนทุกคน
Comments ()